สธ.นำร่องฉีดภูมิโควิด LAAB ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 3 ราย หลังเข้ามาแล้ว 7 พันโดส เตรียมกระจายทั่วประเทศ ‘อนุทิน’ยันให้ฟรีทุกราย ศบค.เผยป่วยใหม่ยังพุ่ง 2.7 พัน ตายเพิ่ม 34 ยอดป่วยหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจสูงต่อเนื่อง ‘สาธิต’เซ็นยกระดับแล็บเอกชนตรวจฝีดาษลิง ด่านชายแดนใต้ตรวจคัดกรองเข้ม‘ฝีดาษลิง’ ‘บิ๊กตู่’กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มข้นควบคุมโควิด-ฝีดาษลิง วอนอย่าตื่นตระหนก ด่านชายแดนใต้คุมเข้มสกัดฝีดาษลิงมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงสูงในแอฟริกา
เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด
ป่วยพุ่ง 2.7 พัน-ตายอีก 34
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์โควิด-19 ประจำวันว่า วันนี้ผู้ป่วยรายใหม่ทั้ง RT-PCR และ ATK จำนวน 2,747 ราย ป่วยสะสม 4,582,168 ราย หายป่วย เพิ่ม 2,099 ราย หายป่วยสะสม 4,526,691 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 34 ราย เสียชีวิตสะสม 31,258 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 24,219 ราย อยู่ร.พ.สนาม และอื่นๆ 12,341 ราย และอยู่ในร.พ. 11,878 ราย จำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 911 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 444 ราย อัตราครองเตียงระดับ 2-3 หรือสีเหลือง-สีแดง 16.4% ภาพรวมกราฟผู้ป่วยรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิตยังเป็นขาขึ้น
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 วันที่ 26 ก.ค. 2565 ฉีดได้ 76,903 โดส สะสม 141,344,843 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 57,114,400 โดส คิดเป็น 82.1% เข็มสอง 53,457,902 โดส คิดเป็น 76.9% และเข็มสามขึ้นไป 54,930 โดส สะสม 30,772,541 โดส คิดเป็น 44.2% ขณะที่การฉีดเข็มกระตุ้นในกลุ่มสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปฉีดได้ 6,189,622 โดส คิดเป็น 48.7% และการฉีดวัคซีนในกลุ่มอายุ 5-11 ปี เข็มแรกฉีดได้ 3,236,660 โดส คิดเป็น 62.8% และเข็มสอง 2,252,550 โดส คิดเป็น 43.7%
กทม. 1.5 พัน-ปากน้ำเกือบ 300
ขณะที่กรมควบคุมโรครายงานจำนวน ผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่รายจังหวัด พบว่า 10 จังหวัดที่มีผู้ป่วยรายใหม่สูงสุด ได้แก่ 1.กทม. 1,506 ราย 2.สมุทรปราการ 291 ราย 3.ชลบุรี 100 ราย 4.ขอนแก่น 66 ราย 5.อุบลราชธานี 54 ราย 6.นครศรีธรรมราช 45 ราย 7.ตราด 36 ราย 8.นครราชสีมา 32 ราย 9.สมุทรสาคร 32 ราย และ 10.ปทุมธานี 30 ราย ภาพรวมมีรายงานผู้ป่วย 66 จังหวัด ไม่มีรายงานผู้ป่วยลดลง 11 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ กำแพงเพชร ชัยนาท พะเยา พังงา แม่ฮ่องสอน ยะลา สมุทรสงคราม สุโขทัย อำนาจเจริญ และอุตรดิตถ์
นำร่องฉีด LAAB ผู้ป่วยไต 3 ราย
วันเดียวกัน ที่สถาบันบำราศนราดูร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานส่งมอบภูมิคุ้มกันออกฤทธิ์ชนิดยาว (Long Acting Antibody : LAAB) หรือภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปให้แก่ผู้ตรวจราชการสธ. เป็นเชิงสัญลักษณ์ในการกระจายส่ง LAAB ไปทั่วประเทศ และนำร่องการฉีด LAAB ให้แก่ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 3 รายวันนี้เป็นวันแรก
นายอนุทินกล่าวว่า LAAB นำมาใช้ดูแล ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่อโควิดต่ำ เช่น ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกไต ปลูกถ่ายอวัยวะและไขกระดูก ผู้ที่ต้องรับยากดภูมิ ทำให้รับวัคซีนโควิด-19 แล้วสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่เพียงพอ ซึ่งทางแอสตร้าเซนเนก้าผลิต LAAB ขึ้นมา เราจึงทำสัญญาขอเปลี่ยนจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนหนึ่ง มาเป็นภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป LAAB โดยไม่ต้องเพิ่มงบประมาณ จัดซื้อประมาณ 2.5 แสนโดส โดยเมื่อวันที่ 25 ก.ค.เข้ามาล็อตแรก 7 พันโดส หลังจากตรวจคุณภาพแล้วก็กระจายส่งไปยังทั่วประเทศ โดยจังหวัดจะกระจายไปยังร.พ. ต่างๆ ตามข้อมูลที่มีการร้องขอมา วันนี้ฉีด ผู้ป่วยไตวายเป็นวันแรก ส่วนกลุ่มเป้าหมายตามข้อบ่งชี้สามารถติดต่อสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์พิจารณาว่าจำเป็นต้องรับภูมิคุ้มกัน LAAB หรือไม่ ซึ่งกำชับให้บุคลากรทางการแพทย์เตรียมพร้อมบริการและบริหาร LAAB อย่างเสมอภาค ให้สังเกตอาการหลังรับภูมิคุ้มกันตามมาตรฐาน ส่วน LAAB ที่เหลือจะทยอยส่งจนครบภายในสิ้นปี 2565
ภูมิใหม่ – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ส่งมอบภูมิคุ้มกันออกฤทธิ์ชนิดยาว หรือ LAAB ล็อตแรก 7 พันโดส นำร่องฉีดผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 3 ราย ที่สถาบัน บำราศนราดูร จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 27 ก.ค.
‘อนุทิน’เผยเตรียมสั่งซื้อเพิ่ม
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้การติดเชื้อ โควิดค่อนข้างสูง แต่อัตราเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเหนือความคาดหมาย ซึ่งผู้เสียชีวิตในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมายังเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 มากกว่า 95% มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ และไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งการให้ LAAB น่าจะควบคุมอัตราการเสียชีวิตได้ดีขึ้น เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะออกฤทธิ์ทันทีหลังฉีด นอกจากนี้ LAAB ยังเป็น ไฮบริดา นอกจากเป็นเหมือนวัคซีนในการป้องกันแล้ว ยังเป็นยาในการรักษาด้วย ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนเป็นยารักษา สำหรับผู้ป่วยตามข้อบ่งชี้ทุกกลุ่มมีประมาณ 5 แสนราย แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับทุกราย โดยให้แพทย์ใช้ดุลพินิจในการพิจารณาตามความสุ่มเสี่ยง แต่หากจำเป็นต้องใช้มากขึ้นก็อาจจะต้องเจรจาจัดซื้อเพิ่มเติม
“การใช้ LAAB ยืนยันว่าเป็นการดูแลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากสธ.จัดซื้อและกระจายส่งไปยังร.พ. แม้กระทั่งร.พ.เอกชนก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะเรื่องการรักษาก็มีสปสช.ดูแล การใช้ LAAB ก็มีระบบรัฐให้ความคุ้มครอง ซึ่งเรื่องการจัดส่งก็รวมอยู่ในงบประมาณของการจัดซื้อแล้ว จึงไม่มีทางที่จะมีการนำมาขายหรือออกนอกช่องทาง” นายอนุทินกล่าว
เมื่อถามว่าขณะนี้ยอดป่วยหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตเกินเกณฑ์ที่กำหนด จะมีการเสนอปรับเพิ่มเติมมาตรการอะไรหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า การใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ในระดับหลักร้อย ส่วนอัตราการเสียชีวิตก็ไม่ได้เพิ่มจนเกินกว่าที่คาด ซึ่งเรามีการดูแลรักษาที่ดี ปัจจุบันมีผู้รับวัคซีนบูสเตอร์ทำให้ไม่มีอาการหนักมากขึ้น ยกเว้นมาจากโรคอื่น การเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ยังดูแลได้ดีอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภูมิคุ้มกัน LAAB ของแอสตร้าเซนเนก้าคือ Evusheld 1 โดส ประกอบด้วยภูมิคุ้มกัน 2 ชนิด บรรจุใน 2 ขวด ขวดละ 1.5 มิลลิลิตร คือ Tixagevimab และ Cilgavimab โดยจะต้องฉีดภูมิคุ้มกันทั้ง 2 ชนิดนี้เข้าที่สะโพก 2 ข้างพร้อมๆ กัน โดยผลการศึกษาจะออกฤทธิ์ได้นาน 6 เดือน
ยันภูเก็ตไม่พบป่วย‘ฝีดาษลิง’เพิ่ม
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีมีข่าวว่ามีผู้ป่วยต้องสงสัยจะติดเชื้อฝีดาษลิง มารักษาที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จ.ภูเก็ตนั้น ขอยืนยันว่ายังไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงเพิ่ม โดยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตยืนยันยังไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงใน จ.ภูเก็ตเพิ่ม ส่วนผู้ที่มีอาการป่วยต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อได้ผ่านการตรวจสอบแล้วไม่พบเชื้อ ซึ่งกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงที่ทางจังหวัดเฝ้าระวังอยู่ทั้งหมด 33 คนนั้นทุกคนยังปกติ ส่วนผู้ที่มารับการรักษา เป็น ผู้ป่วยชายไทย มีอาการไข้ และตุ่ม ผื่นขึ้น ตามตัว จึงตรวจหาเชื้อฝีดาษลิง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยชาวไนจีเรียรายแรก
“การค้นพบชายไทยคนดังกล่าว เป็นกลไกการตรวจจับโรคตามระบบสาธารณสุขที่ได้วางไว้ โดยชายคนดังกล่าวขณะนี้รับการรักษาในโรงพยาบาลและได้ตรวจหาเชื้อ อยู่ระหว่างรอผลการยืนยันจากห้องปฏิบัติการ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และขณะนี้ได้แยกและกักตัวเพื่อรอดูอาการ ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก สำหรับอาการฝีดาษลิงที่เข้าข่ายสงสัยจะต้องเฝ้าระวังใน ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยง คือ มีไข้ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส หรือมีไข้ร่วมกับมีอาการหนึ่งอาการ ได้แก่เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง และต่อมน้ำเหลืองโต ประกอบกับมีผื่นกระจายตามลำตัว มีลักษณะเป็นตุ่มนูน ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง หรือตุ่มตกสะเก็ด และเดินทางมาจากหรืออาศัย อยู่ในประเทศที่มีการรายงานการระบาดของโรคฝีดาษลิงในประเทศภายใน 21 วัน”
นายธนกรกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหมสั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้มงวด ควบคุมมาตรการเฝ้าระวัง ทั้งนี้ ในส่วนของ จ.ภูเก็ตมีมาตรการเฝ้าระวังโรคฝีดาษลิงอย่างเข้มข้น หากโรงพยาบาลใดพบผู้ป่วยที่มีตุ่มผื่นแดง มารักษา ก็จะตรวจหาเชื้อฝีดาษลิงด้วย
‘นายกฯ’กำชับตรวจเข้มฝีดาษลิง
นายธนกรเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงานสถานการณ์โควิด-19 พบยอด ผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยปอดอักเสบเพิ่มสูงขึ้น ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา จึงขอความร่วมมือ จากประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนตามที่สาธารณสุขกำหนด หมั่นสังเกตอาการของตนเองและคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิด หากพบมีอาการน่าสงสัยให้เข้าพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต โดยนายกฯ มอบหมายกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญ กับการควบคุม ป้องกัน ดูแล รักษาสุขภาพประชาชนเป็นหลัก
“นายกฯ กำชับกระทรวงสาธารณสุขรายงานความคืบหน้าผลสืบเนื่องกรณีพบโรคฝีดาษลิง ที่จ.ภูเก็ต เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประเทศและประชาชน พร้อมฝากให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง กวดขันเข้มงวดการเดินทางเข้าออกประเทศในทุกช่องทาง และขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากทางสาธารณสุข เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน”
‘ชัชชาติ’กำชับเฝ้าระวังฝีดาษลิง
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงว่า ยืนยันว่าในกทม.ยังไม่พบผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษลิงตามกระแสข่าวลือ อย่างไรก็ตาม กทม.ต้อง เฝ้าระวัง ประมาทไม่ได้ เพราะในอิสราเอล พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงแล้วหลายราย ทั้งนี้จะตรวจหาเชื้อเชิงรุกในชุมชนพื้นที่เสี่ยงมากขึ้น
เมื่อถามว่าในช่วงวันหยุดยาว ประชาชนเดินทางข้ามจังหวัดมากขึ้น กทม.จะมีมาตรการป้องกันโรคดังกล่าวอย่างไร นายชัชชาติกล่าวว่า ต้องพิจารณาตัวเลขผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง ตอนนี้จะพบว่าการติดเชื้อ ไม่ได้ผ่านอากาศ แต่เกิดจากการสัมผัส หรือการมีเพศสัมพันธ์ และกลุ่มเสี่ยงคือผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ทั้งนี้สำนักอนามัย กรุงเทพ มหานครดำเนินการรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน และมุ่งเน้นการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงเป็นหลัก
‘บิ๊กตู่’สั่งทหารเกาะติดฝีดาษลิง
เมื่อเวลา 16.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหมที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมว่า พล.อ.ประยุทธ์มอบนโยบายให้กับหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เรื่องการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 และการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิง โดยให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติสนับสนุนการดำเนินการของศบค.และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งปรับรูปแบบการปฏิบัติงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยยังคงเข้มงวดมาตรการเฝ้าระวังและสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดน ซึ่งจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากประเทศเพื่อนบ้านได้อีกช่องทางหนึ่ง พร้อมเน้นย้ำให้กำลังพลและครอบครัวปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันตนเอง สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แออัด ตลอดจนเร่งรัดการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่กำลังพลและครอบครัวให้ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยเฉพาะเข็มกระตุ้นให้ได้มากที่สุด
“ตามที่มีการประกาศจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้การระบาดของโรคฝีดาษลิงในหลายประเทศครั้งนี้ถือเป็น “ภาวะ ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” ซึ่งเป็นระดับเตือนภัยสูงสุดของ WHO จึงขอให้ดำรงมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวชายแดนเช่นเดียวกัน”
‘เสี่ยหนู’ยันไม่ถอยกัญชาเสรี
จากกรณีกระทรวงสาธารณสุข ทำหนังสือด่วนที่สุด ถึง ผบ.ตร. เรื่องดำเนินคดีกับผู้ที่ ไม่ขออนุญาตศึกษาวิจัย หรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า โดยขอให้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 ดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีกับบุคคล หรือนิติบุคคลใดที่ ไม่ดำเนินการตาม มาตรา 46 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
เมื่อวันที่ 27 ก.ค นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข กล่าวว่า การใช้กัญชาในไทยชัดเจนว่าเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสุขภาพ ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ที่อยู่ในกรรมาธิการ ก็ไม่มีเรื่องสันทนาการ ไม่ต้องมาพูดว่าทำให้สังคมเดือดร้อน มอมเมาเยาวชน เพราะเราห้ามเยาวชนใช้ ทั้งนี้การทำหนังสือที่ออกมาเป็นการควบคุมการใช้ ช่อ ดอก กัญชา ที่จะนำไปแปรรูป การใช้กัญชาไปทำอย่างอื่น อย่างการนำไปตากแห้งมาใช้มวนบุหรี่ ก็เป็นความผิดแล้ว แล้วยังผิดกฎหมายสรรพสามิตที่มีการแปรรูปเป็นบุหรี่ ยิ่งเอาทำพันลำ เอาไปขายยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ หากจะขายช่อดอกจะต้องขออนุญาต ซึ่งไม่มีทางอนุญาตขายเพื่อการสูบเสพ อย่าทำให้คนด้อยค่ากัญชา
วันเดียวกัน ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัด สธ. และนพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้หารือกรณีหนังสือด่วน ขอความร่วมมือดำเนินคดีผู้ไม่ขออนุญาตใช้กัญชา 4 กรณี โดย นพ.ณรงค์กล่าวว่า จากการหารือมีข้อสรุปและข้อสั่งการให้อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ ทบทวนรายละเอียด ประเด็นที่เกี่ยวข้องและนำเสนอต่อไป โดยได้นำหนังสือฉบับดังกล่าวกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ทบทวนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด
ขณะที่นพ.ยงยศกล่าวว่า อนุกรรมการด้านกฎหมาย ของ พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 ปรึกษาหารือเห็นควรปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุขกรณีกัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมเพิ่มเติม ให้มีความชัดเจน 4 เรื่อง ทั้งการดูแลสุขภาพ ความผิดก่อนมีประกาศ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ต้องชัดเจนและไม่มีความผิด และกัญชาจะเป็นพืชสำคัญสร้างเศรษฐกิจ การให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดหรือถูกด้อยค่าจากการกระทำของคนก็ไม่ควรเกิดขึ้น โดยจะปรับปรุงประกาศอย่างรวดเร็วที่สุด ทั้งนี้การดำเนินคดี 4 กรณีตำรวจต้องได้รัประสานร้องขอจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ส่วนเรื่องการสูบกัญชาพันลำ สามารถดำเนินการได้ตามประกาศกลิ่นและควันเป็นเหตุรำคาญ