เรือหลวงสุโขทัย : ส่งศพลูกเรือสุโขทัยอย่างสมเกียรติ พร้อมเสียงร่ำไห้ของญาติมิตร
- Author, ชัยยศ ยงค์เจริญชัย
- Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
- Reporting from จ.ประจวบคีรีขันธ์
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ส่งศพลูกเรือหลวงสุโขทัย
กองทัพเรือประกอบพิธีส่งศพผู้เสียชีวิต 6 ราย จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ท่ามกลางเสียงร่ำไห้อย่างเศร้าสลดของเหล่าญาติมิตร ขณะที่ผู้สูญหายอีก 23 คน ยังไม่ทราบชะตากรรม แม้เวลาผ่านไป 4 วันแล้วก็ตาม
บ่ายวันนี้ (22 ธ.ค.) ศพของลูกเหลือ 6 คนแรกที่ได้รับการพิสูจน์ทางดีเอ็นเอเป็นที่เรียบร้อยแล้วได้ถูกขนย้ายมาจากมูลนิธิสว่างราษฎร์ศรัทธาธรรมสถาน อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์มายังกองบิน 5 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมญาติรวมทั้งสิ้น 20 คน เพื่อนำร่างกลับไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่สัตหีบ
ก่อนหน้าที่จะมีการเคลื่อนย้ายศพ ญาติทุกคนได้กลับเข้าไปที่ท่าเรือน้ำลุกของบริษัทท่าเรือประจวบ ซึ่งเป็นจุดที่นำศพลูกเรือทั้งหมดขึ้นมาจากน้ำ เพื่อทำพิธีอัญเชิญวิญญาณ ก่อนจะไปรับร่างที่มูลนิธิสว่างราษฎร์ศรัทธาธรรมสถาน และเดินทางร่วมชั่วโมงเศษบนรถตู้ของมูลนิธิฯพร้อมรถนำขบวนรวม 20 คัน มายังบริเวณสนามบินของกองบิน 5
ขบวนรถขนศพเดินทางมาถึงบริเวณกองบิน 5 เวลาประมาณ 13.23 น. ก่อนที่โรงศพทั้ง 6 ใบจะถูกลำเลียงมาวางไว้ที่อาคารข้างลานบินอย่างสมเกียรติ ในขณะที่ญาติทุกรายที่มีสีหน้าอันโศกเศร้านั่งรอทำพิธีกรรมทางศาสนาก่อนจะลำเลียงโลงศพขึ้นเครื่องบินในช่วง 14.15 น.
ที่กองบิน 5 กองทัพอากาศได้เตรียมกำลังทหารอากาศร่วม 200 นาย จัดขบวนทำพิธีทางทหารให้อย่างสมเกียรติ โดยโลงศพแต่ละใบถูกคลุมด้วยธงชาติไทย และถูกลำเลียงโดยนายทหารอากาศ 6 นายต่อโลงศพหนึ่งใบ นอกจากนี้ยังมีขบวนทหารติดอาวุธเดินนำโลงศพขึ้นไปส่งที่เครื่องบิน ก่อนเครื่องจะออกบินไปสนามบินอู่ตะเภา ในเวลา 14.30 น.
โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 6 นายได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยกองทัพเรือได้นำกำลังพลที่เสียชีวิตและพิสูจน์อัตลักษณ์แล้วจำนวน 6 รายเดินทางกลับอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเครื่องบิน C-130 ของกองทัพอากาศ จากกองบิน 5
เมื่อเดินทางถึงสนามบินอู่ตะเภา พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือจะเป็นประธานในพิธีรับกำลังพลที่เสียชีวิต โดยพิธีจะเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับอย่างสมเกียรติ
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
บรรยากาศโศกเศร้า
บ่ายแห่งแสงสว่าง หัวค่ำแห่งความสิ้นหวัง
หลังจากตั้งตารอมาอย่างไร้ความหวังมาหลายวัน มาลินี ผุดผ่อง ญาติของจ่าโท สหรัฐ อีสา ตัดสินใจเดินทางจากบ้านที่ จ.ปทุมธานี มาที่ท่าเรือน้ำลึกที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะมาขอความชัดเจนเรื่องหลานของเธอที่ยังหาตัวไม่พบ
“ข้อมูลก็มีเท่าที่ทราบ ก็ทราบกันแค่นี้ เขา (กองทัพเรือ) ไม่ได้ช่วยเหลือให้ข้อมูลเลย” มาลินีตัดพ้อ
“เราก็รอเอง รอแบบนี้ แต่ว่าความชัดเจนไม่มี จริง ๆ เขาก็ไม่ได้บอกให้เรารอหรืออะไรนะ แต่เราประสงค์ที่จะรอแบบนี้จนกว่าจะหาหลานเจอ”
มาลินีเป็นหนึ่งในสมาชิก 4 ครอบครัวของทหารเรือที่มาเฝ้ารอ ณ บริเวณท่าเรืออ่าวน้ำลึก ของบริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด เพื่อฟังข่าวภารกิจการช่วยเหลือชีวิตผู้สูญหาย 23 คน จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปางเมื่อกลางดึกของ 18 ธ.ค.
แม้ผ่านมาหลายวันแล้ว ภารกิจค้นหายังดำเนินต่อไป และญาติของผู้ประสบภัย ต่างยังเฝ้ารอด้วยความหวังว่าคนที่พวกเขารักจะกลับมา
“ถ้าเขากลับมาทันที เราก็อยากเจอ เรารอด้วยความหวัง เรารอ 3 วันแล้ว พวกเราใส่เสื้อผ้าเดิม ใส่ชุดเดิม ถ้าไม่มีความหวังเราก็ไม่รอแบบนี้ มันพูดยาก” มาลินีกล่าวกับบีบีซีไทย
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ญาติของผู้สูญหายจุดธูปอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่าเรือ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ความหวังสั้น ๆ จากข่าวลวง
ความกระวนกระวายถูกแทนที่ด้วยความหวัง เมื่อมีกระแสข่าวเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์เมื่อ 21 ธ.ค. ว่าพบผู้รอดชีวิตเพิ่มเติมอีก 1 ราย ที่ลอยคอนานกว่า 60 ชั่วโมง และยังมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้รอดชีวิตเพิ่มเติมอีกรวม 4 คน ญาติที่รอคอยด้วยความหวังต่างกระโดดกันขึ้นมาสวมกอดกันด้วยสีหน้าอันดีใจ
ญาติหลายคนบอกผู้สื่อข่าวว่าทันทีที่ญาติของเขาเดินทางขึ้นฝั่งมา จะมาบอกถึงความรู้สึกและเล่ารายละเอียดให้ฟังอีกทีหนึ่ง แต่หลายชั่วโมงผ่านไป ทางกองทัพเรือไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ จนกระทั่งเวลา 17.00 น. ทางกองทัพเรือก็แจ้งว่าข่าวที่แชร์อยู่นั้นเป็นข่าวปลอม ทำให้ครอบครัวที่เห็นความหวังอยู่รำไร กลับไปอยู่ในภาวะซึมเศร้าอีกครั้ง จนมีนักจิตวิทยาของกองทำเรือเข้าไปพูดคุยปลอบใจ ก่อนที่จะเรียกทุกครอบครัวที่เฝ้ารออยู่มาคุยรวมกันถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และขอให้รอฟังข้อมูลอย่างเป็นทางการจากกองทัพเรือเท่านั้น
ทหารเรือรายหนึ่งที่ไม่ประสงค์จะออกนามอธิบายให้บีบีซีไทยฟังว่า เขาก็รู้สึกไม่ต่างอะไรกับครอบครัวของผู้สูญหาย เพราะลูกเรือหลายคนที่ยังหาตัวไม่พบ ต่างก็เป็นเพื่อนที่ทำงานอยู่หน่วยเดียวกัน ฝึกซ้อมมาด้วยกัน แต่วันเกิดเหตุเขาได้รับมอบหมายให้ไปทำงานในภารกิจอื่น จึงไม่ได้เดินทางไปกับเรือหลวงสุโขทัย เขาอธิบายความรู้สึกว่าเขาเองก็ “กินไม่ได้ นอนไม่หลับ” ไม่ต่างอะไรไปจากญาติ ๆ ที่มารอฟังข่าว
บีบีซีไทยได้สอบถามเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ที่ร่างของลูกเรือที่ยังหาตัวไม่พบจะพัดไปไกลออกน่านน้ำไทยไป เพราะ 1 ในศพที่พบถูกพัดลอยไปไกลถึงเกาะเต่า เจ้าหน้าที่ทหารคนดังกล่าวระบุว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะลอยออกไปนอกน่านน้ำไทย เพราะจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากชายฝั่งเพียงแค่ 19 ไมล์ทะเล หรือเทียบเท่ากับระยะทาง 40 กิโลเมตรทางบก
“ทะเลในบริเวณอ่าวไทยเป็นทะเลปิด และไม่มีร่องน้ำที่จะพัดออกไปนอกน่านน้ำไทย ด้วยสภาพทะเลแบบนี้ คลื่นจะพัดร่างเข้าชายฝั่งทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ และพัดไปตรงไหน ไม่ว่าร่างนั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว ก็จะถูกพัดเข้าฝั่ง” เขาอธิบาย
“ส่วนภารกิจการค้นหา ส่วนตัวคาดว่าจะดำเนินต่อไปจนพบร่างผู้สูญหายทั้งหมด ในช่วงแรกเราใช้แต่เรือใหญ่ในการออกหา เพราะว่าคลื่นยังแรงอยู่ แต่หลังจากนี้ไปอีก 1-2 วัน เราจะเริ่มใช้เรือเล็กเลาะตามแนวชายฝั่งทั้งหมดเพื่อหาว่าจะมีร่างพัดไปตรงจุดใดบ้าง”
นอกจากทางกองทัพเรือที่ปฏิบัติภารกิจการค้นหาอยู่ในขณะนี้ ก็ยังมีการแจ้งข่าวถึงสิ่งที่พบเห็นอยู่กลางทะเลจากตำรวจน้ำ หน่วยกู้ภัย มูลนิธิต่าง ๆ และชาวประมง ทำให้ภารกิจการค้นหานี้ครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ญาติที่ “ข่าวดี” มาไม่ถึง
“พวกเราทำอะไรไม่ได้นอกจากการรอ”
หลังกองทัพเรือแจ้งข่าวกับญาติที่มารอที่บริเวณท่าเรือน้ำลึก ใน อ.บางสะพาน ทุกคนต่างก็ผิดหวังและกลับมามีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดเจน หลังจากที่นายทหารจากกองทัพเรือเรียกญาติทั้งหมดเข้าไปชี้แจ้งแล้ว ญาติ ๆ ทุกคนต่างขอความเป็นส่วนตัวและไม่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ กับสื่อมวลชน ก่อนจะเดินทางออกจากศูนย์อำนวยการชั่วคราวกลับไปยังที่พัก
“ถ้ามีข่าวก็คงจะแจ้งเรา เรามาเห็นหน้างาน เราก็ต้องรอข่าวจากข้างใน เราคาดคั้นข้อมูลเพิ่มเติมอะไรจากเขาไม่ได้ ถ้าเขาตอบได้ ก็คงตอบไปแล้ว” มาลินีพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“จริง ๆ แล้วใจไม่รู้สึกเศร้าอย่างนี้หรอก แต่เราพยายามเข้าใจแบบนี้ พอเรามาเห็นหน้างานแล้วก็เข้าใจ มันจะไปไหนก็ไปไม่ได้ นอกจากทีมค้นหาที่ออกไปในทะเล ไปตามหาญาติของพวกเรา แต่เขาก็ยังไม่มีคำตอบ” มาลินีอธิบาย
“จุดประสงค์ของทางกองทัพเรือคือการค้นหาที่ประสบความสำเร็จ ส่วนพวกเราก็มีจุดประสงค์ในการรอคอย ก็อยากให้เขาหาให้เจอ แม้จะมีจุดประสงค์คนละอย่าง แต่ท้ายที่สุดเราก็มีความหวังแบบเดียวกัน”
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
20 ธ.ค. ขบวนรถนำร่างไร้วิญญาณไปพิสูจน์เอกลักษณ์ใน จ.ประจวบคีรีขันธ์
มาลินีบอกกับบีบีซีไทยว่าญาติ ๆ ทุกคนต่างต้องต้องทำความเข้าใจการทำงานของทีมค้นหาทางทะเล โดยเธอและญาติคนอื่นล้วนได้รับการอธิบายจากกองทัพเรือว่าเริ่มมีการปูพรมค้นหาที่น่านน้ำใน จ.สุราษฎร์ธานี แล้ว ซึ่งมาลินีคิดว่าควรทำมาตั้งแต่วันแรกแล้ว
“วันแรก ปูพรมรัศมี 10 กิโลเมตร มาวันนี้ ก็ออกไปอีก เริ่มต้นใหม่อยู่เรื่อย เข้ามาก็ต้องออกไปใหม่ แทนที่จะทำตั้งแต่ต้น ให้พื้นที่แคบมากขึ้น หาง่าย เอาเรือออกบางส่วน กันหลง กันพลาด… เพราะการบริหารข้างใน ไม่ได้บอกเราหมด” มาลินีกล่าว
“พวกเราทำอะไรไม่ได้นอกจากการรอ จะให้เกณฑ์ญาติพี่น้องมาช่วยหา เราก็ไม่กล้าออกจากชายฝั่งไปอีก ขนาดเรือรบยังจม เราจะไปทำอะไรได้”
ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 นายที่พบศพแล้ว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยในวันที่ 22 ธ.ค. กองทัพเรือจะนำกำลังพลที่เสียชีวิตและพิสูจน์อัตลักษณ์แล้วจำนวน 6 รายเดินทางกลับอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเครื่องบิน C-130 ของกองทัพอากาศ จากกองบิน 5 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีกำหนดเดินทางถึงสนามบินอู่ตะเภา ในช่วงบ่าย ซึ่งพล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือจะเป็นประธานในพิธีรับกำลังพลที่เสียชีวิต โดยพิธีจะเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับอย่างสมเกียรติ
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสธ ทร. อธิบายถึงเส้นทางการค้นหาผู้สูญหาย ในการแถลงข่าวเมื่อ 20 ธ.ค.