กรณีเหตุคนร้ายบุกเดี่ยว ชิงทองคำ น้ำหนัก 7 บาท ภายในห้างโลตัสพนัสนิคม สุดท้ายไม่รอด ถูกตำรวจตามรวบตัวได้พร้อมของกลางสร้อยคอหนัก 3 บาท ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า จากกรณี เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 คนร้ายบุกชิงทองภายในห้างทองเยาวราชกรุงเทพ สาขาพนัสนิคม ภายในห้างโลตัส พนัสนิคม หมู่ 1 ตำบลกุฎโง้ง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี โดยคนร้ายทำทีเข้ามาขอดูสร้อยคอทองคำรูปพรรณลายห่วงคู่ 3 บาท 1 เส้น ราคา 88,000 บาท เส้นละ 1 บาท 2 เส้น ราคา 59,000 บาท รวมทั้งหมด หนัก 7 บาท เป็นเงิน 206,000 บาท โดยคนร้ายเป็นชายอายุประมาณ 30-40 ปี ลักษณะสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเทาดำ กางเกงยีนส์ สีน้ำเงิน โดยทำทีพูดคุยประมาณ 3 นาที จากนั้นได้หยิบสร้อยคอทองคำใส่กระเป๋าแล้ววิ่งหลบหนีไปทางหน้าห้าง และขี่รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ สีดำแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน หลบหนีไปทางหน้าห้างอย่างรวดเร็ว โดยมีกล้องวงจรปิดจับภาพเป็นหลักฐานอย่างชัดเจน ล่าสุด ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พนัสนิคม สามารถติดตามรวบตัวได้แล้วในเขต อบต.โคกเพลาะ อำเภอพนัสพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ชื่อนายกันพัทธ์ ศรีสวัสดิ์ อายุ 43 ปี เป็นลูกจ้างขับรถใน อบต.โคกเพลาะ พักอาศัยที่หอพักพรเจริญ เลขที่ 42/4 หมู่ 2 ตำบลมาบโป่ง จากการเข้าตรวจสอบพบรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ จอดอยู่ที่หอพักดังกล่าว ทั้งนี้ทางชุดจับกุมได้ ติดตามจากกล้องวงจรปิด จนรู้ว่าคนร้ายได้หลบหนีเข้าไปในซอย มาบโป่ง 11 และแกะรอยจนสามารถติดตามจับกุมตัวได้พร้อมของกลางสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท อยู่ภายในตัว ต่อมาทาง พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ กิจจาหาญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี พ.ต.อ.ถาวร นาใจเย็น ผู้กำกับการ สภ.พนัสนิคม พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 20 นาย ได้ควบคุมตัวคนร้ายไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งเผยถึงชนวนการก่อเหตุของคนร้าย เนื่องจากเป็นหนี้การพนันฟุตบอลออนไลน์ จำนวน 40,000 – 50,000 บาท และถูกเจ้าหนี้ตามทวงจนทำให้ต้องเข้าไปชิงทองดังกล่าว ทั้งที่รู้ว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ เบื้องต้นคนร้าย ให้การรับสารภาพว่า หลังจากก่อเหตุได้นำสร้อยคอทองคำดังกล่าว ที่ก่อเหตุมาทั้งหมดไปจำนำที่โรงรับจำนำ สินเมืองชล เลขที่ 62/4 -5 ถนนสุขุมวิท ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ในราคา 100,000 บาท และนำเงินที่ได้มาไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ราคา 14,000 บาท , จ่ายค่าไถ่สว่านไฟฟ้าจำนวน 1,500 บาท ใช้หนี้ 1,000 บาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำตัวคนร้ายไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป